ด้วยความที่เมย์เป็นคนชอบลอง เจอทฤษฎีอะไรน่าสนใจก็มักจะลองกับตัวเองหมด

ลองมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นการทานแบบ Vegan / Macrobiotics / Paleo / Keto / นับแคล และอื่นๆ

สุดท้าย เมย์ค้นพบว่าไม่มีการกินแบบไหนที่จะเหมาะกับทุกคน และทุกช่วงเวลา การกินตามความรู้สึกและสภาพร่างกายเรา ณ ขณะนั้น และวัยนั้น คือดีที่สุด

ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ไม่มีการกินแบบไหนที่ perfect เหมาะกับทุกคน เว้นแต่การทานอาหารจากธรรมชาติ ปรุงด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ จะทานอะไร เท่าไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องนับสารอาหาร เลี่ยงของแปรรูป ฟังร่างกายเราว่าเขาต้องการอะไร ​ณ ขณะนั้นคือวิธีการกินที่ดีที่สุด และได้น้ำหนักที่เหมาะกับตัวเราแบบยั่งยืนที่สุดค่ะ

มากกว่า 5 ปีที่เมย์ได้ศึกษาและทดลอง

สิ่งที่อันตรายต่อสุขภาพเราที่สุดคือความเครียด

เพราะฉะนั้นหากดูแลตัวเองแล้วเครียด ไม่ว่าจะเป็นการบังคับตัวเองให้กิน หรือไม่กินอะไร การออกกำลังกายที่หนักไป ก็อย่าทำ เพราะมันจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งสารพิษออกมานะคะ จะดูแลตัวเองต้องทำด้วยความพร้อมและความเข้าใจ ทำเพราะว่าเรารักและเห็นคุณค่าในตัวเอง ทำเท่าที่เราไหว ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ทำอย่างมีความสุข แล้วจะเห็นผลดีที่สุดค่ะ

เคยเห็นใช่ไหม บางคนพยายามจะลด กินน้อยออกกำลังหนักน้ำหนักก็ไม่ลง

แต่บางคน แค่ใช้ชีวิตให้มีความสุข ทานเท่าที่อยาก ทานแค่พอดี ออกกำลังในแบบที่ชอบให้พอประมาณ มีความสุขกับชีวิต ไม่เครียด แค่นี้ก็ไม่อ้วนแล้วค่ะ

แต่หากถามว่านอกจากความเครียดแล้ว อาหารอะไรที่อันตรายที่สุดก็คือ

น้ำตาล น่ากลัวยิ่งกว่าไขมัน เลี่ยงได้ก็ดี เลี่ยงไม่ได้ ลดหน่อยก็ยังดีค่ะ

แต่หากใครยังอยากรู้ว่าการทานแบบ special diet แต่ละอย่างที่เมย์กล่าวมาคืออะไร กินยังไง เมย์ทำแล้วได้ผลยังไง เมย์ได้สรุปมาให้อ่านกัน ลองดูนะคะ

รูปซ้าย คือเมย์เมื่อ 5 ปีก่อน เป็นตอนที่เมย์เริ่มสนใจการดูแลสุขภาพในช่วงแรกๆ ช่วงนั้นยังไม่ค่อยมีความรู้

เริ่มจากการทานเจเกือบ 100% เพื่อลดน้ำหนัก ผลคือน้ำหนักลด 6 กก. สมใจ แต่กลายเป็นคนเลือดจาง เกือบต้องให้เลือด หลังจากนั้น ได้ลองทานแบบต่างๆมาเรื่อยๆตามด้านล่างนี้

** หากใครได้อ่าน About Me จะทราบว่าจุดเริ่มต้นของความสนใจใน Healthy Lifestyle คือเมย์อยากลดน้ำหนัก แต่สิ่งที่เมย์ได้มากกว่านั้นคือ

ระบบขับถ่ายที่ดีขึ้น ผื่นที่แขนที่เป็นมาเป็น 10 ปีหายไป ตื่นตอนเช้าด้วยความสดใส ไม่ง่วงตอนบ่ายและมีแรงดีตลอดวันค่ะ

เมย์ไม่ได้บอกว่าวิธีไหนดีที่สุด ถูกหรือผิด เพียงแต่แค่มาแชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมา
ใครยังไม่มีเวลาอ่านว่าเมย์ผ่านการทานแบบไหนมาบ้าง จะข้ามไปตอนจบเลยก็ได้นะคะ

1. Low Calories

Image result for low calorie snacks oreo

  • Trial Period:
    ประมาณ 1 ปี (ปี 2011 ตอนเรียนอยู่ที่อเมริกา)
  • What:
    แค่กินอาหารที่พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ก็ผอมแล้ว
  • How:
    จะกิน จะซื้ออะไรก็ขอให้แคลต่ำไว้ก่อน ไม่ออกกำลังก็ได้ แค่กินให้น้อยกว่าที่เราใช้พลังงานในชีวิตประจำวันก็โอเค ตอนนั้นเรียนอยู่ที่อเมริกา ซื้ออะไรก็ได้ที่แคลต่ำไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็น Oreo 100 แคล โยเกิร์ตไขมันต่ำ คือตกเป็นเหยื่อการตลาดสุดๆ ตอนนั้นไม่มีความรู้เรื่องสารอาหารเลย ดูอะไรที่แคลน้อยเป็นพอ
  • Result:
    น้ำหนักลงจริง แต่ไปเที่ยว หรือไปสังสรรค์เมื่อไหร่น้ำหนักก็ขึ้นทันที เหนื่อยง่าย ไม่สดใส คิดเยอะเวลาจะกินอะไร กังวลว่าแคลจะเยอะไปไหม ขับถ่ายไม่คล่องเท่าที่ควร ยังมีผื่นที่แขน ทายาที่มี steroid แก้ต่อไป (กลับไปถามหมอผิวหนังตอนนี้ เขาก็ยังจะจ่ายยาแบบเดิม ไม่เคยคิดจะแนะนำเรื่องกายกินเลยยยย)
  • The Positive:
    น้ำหนักลงจริง ง่าย และไม่ต้องคิดอะไรมาก
  • The Negative:
    ขาดสารอาหาร ขับถ่ายไม่ดี ไม่สดชื่น สดใส

2. Vegan

Related image

Image result for vegan junk food

  • Trial Period:
    ประมาณ 5-6 เดือน (ปี 2012) ไม่ได้ Vegan 100% น่าจะซัก 90% ทำควบคู่ไปกับ Macrobiotics และ Whole Foods Plant Based ค่ะ
  • What:
    การละเว้นจากการทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์โดยสิ้นเชิง
  • How:
    ทานอะไรก็ได้ที่ไม่มีเนื้อสัตว์ Oreo ก็เจนะรู้ยัง
  • Result:
    น้ำหนักลงครบ 6 กก. สมใจ (รูปซ้ายด้านบน) ไปตรวจร่างกายคอเลสเตอรอลต่ำดี แต่เลือดจางมากจนเกือบต้องให้เลือด คุณหมอบอกให้ทานผักใบเขียวเข้มเยอะๆและให้ทานเนื้อแดงจะได้ไม่ขาดธาตุเหล็ก แต่คือตอนนั้นทานผักใบเขียวเข้มเยอะมากแล้วจริงๆ
  • The Positive:
    น้ำหนักลง ตัวเบา ขับถ่ายดี นอนดี ผื่นที่แขนหายไป (ตอนหลังมารู้ว่าตัวเองไม่ถูกกับนมวัวนั่นเอง)
  • The Negative:
    ไม่ค่อยมีแรง เลือดจางมากกก ความดันต่ำ หากลุกเร็วจะรู้สึกหน้ามืด อันนี้มารู้ทีหลังว่าหากจะทานเจจริงๆควรทานวิตามินเสริม ที่สำคัญมากคือธาตุเหล็กและ วิตามิน B12 โชคดีที่เมย์ไม่ได้ประจำเดือนหาย อาจเพราะไม่ได้ออกกำลังหนักมาก และยังคงทานไขมันดีเช่นถั่วและอโวคาโดอยู่

3. Macrobiotics

 

  • Trial Period:
    ประมาณ 5-6 เดือน (ปี 2012)
  • What:
    การทานแบบคนญี่ปุ่น โดยเน้นธัญพืชและถั่วไม่ขัดสีเป็นหลัก ทานเนื้อสัตว์ได้แต่ต้องเป็นปลาเท่านั้นและไม่บ่อย ไม่เน้นโปรตีน และเป็นการทานแบบต้องเลี่ยงไขมันสุดๆ
  • How: ตอนนั้นอินมาก ไปเข้าคอร์ส ซื้อกระทะและเรียนรู้การปรุงอาหารใหม่ เลิกสนใจแคเลอร์รี่ กล้าทานข้าวกล้องเยอะๆ รู้จักการหุงข้าวและปรุงผักให้คงคุณค่าสารอาหารไว้ให้มากที่สุด
  • Result: น้ำหนักลงแบบไม่โยโย่ นอนดี ขับถ่ายดี แต่ความดันต่ำ เลือดเริ่มจาง
  • The Positive: ได้เรียนรู้วิธีปรุงอาหารให้คงคุณค่าไว้ได้มากที่สุด ขับถ่ายดี นอนหลับง่าย ตื่นเช้ามาสดใส
  • The Negative: หากทำตามอย่างเคร่งคัดจะไม่สามารถทานเนื้อแดงได้ เพราะฉะนั้นขนม ชาบูเนื้อต่างๆไม่ต้องพูดถึง ด้วยความที่เมย์เป็นคนชอบกิน เลยยังมีความทานของพวกนี้อยู่บ้าง โดยเฉพาะเวลาไปทานกับเพื่อนและครอบครัว คนรอบข้างก็จะไม่ค่อย happy ด้วยเท่าไหร่

4. Whole Food Plant Based

  • Trial Period:
    ประมาณ 5-6 เดือน (ปี 2012 – 2013) ตอนกำลังเรียน Certificate in Plant Based Nutrition จาก Cornell
  • What:
    การทานอาหารจากธรรมชาติแบบครบรูป (Whole Foods) คือไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ ถั่ว หรือธัญพืช เราจะเน้นทานแบบที่ผ่านกระบวนการน้อยที่สุด ขัดสีน้อยที่สุด ตามตำราแล้ว การทานแบบนี้จะงดเว้นจากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์โดยเฉพาะนมวัว
  • How:
    เมย์ชอบวิธีนี้มาก สอนให้ไม่ทานอะไรแย่ๆเช่น Vegan Donuts / Oreo 100 Cal อาหารเจที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเยอะๆเช่น โปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์ปลอม ได้เรียนรู้การใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำอาหาร เริ่มเรียนรู้การทานวิตามินเสริม เช่นธาตุเหล็กและ วิตามิน B12
  • Result:
    ทานได้เยอะ น้ำหนักลงแบบไม่โยโย่ นอนดี ขับถ่ายดี ผื่นที่แขนหายไป
  • The Positive:
    ได้เรียนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำอาหาร สั่งอาหารและเลือกซื้ออาหาร เข้าใจว่าอาหารที่มีประโยชน์จริงๆคืออาหารจากธรรมชาติ ไม่ใช่อาหารจากโรงงานที่เขาเติมวิตามินและไฟเบอร์เข้าไป
  • The Negative:
    อดกินซูชิ ชาบู กะปิ และของโปรดอื่นๆอีกมากมาย

5. Calorie Counting

  • Trial Period:
    ประมาณ 3 อาทิตย์ (ปี 2013) ใช้เทรนเนอร์แล้วเขาบอกให้ลองนับแคลดู
  • What:
    การทานอาหารโดยการคำณวนแคเลอรี่ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดต่อวัน ทั้งแคเลอรี่โดยรวมและ macronutrients เช่นคาร์บ โปรตีน และไขมัน โดยมากจะเน้นให้ทานโปรตีนและคาร์บเยอะ ไขมันน้อยๆ
  • How:
    จะกินอะไรก็ต้องชั่ง ตวง อ่านฉลากและจด ไม่ว่าจะเป็นข้าว ไก่ ปลา ผัก ผลไม้ และเครื่องปรุงต่างๆ ต้องคอยดูว่าเรากินถึงไหม กินเกินหรือเปล่า
  • Result:
    ออกกำลังแล้วเห็นผลชัดจริง น้ำหนักลด กล้ามเนื้อชัด
  • The Positive:
    ได้เรียนรู้ว่าอาหารแต่ละอย่างมีพลังงานเท่าไหร่และสารอาหาร macronutrients อย่างไรบ้าง เห็นการเปลี่ยนแปลงในรูปร่างที่ชัดเจน อยากทานอะไรก็ได้ ขนม นม เนย ขอให้อยู่ในแคลเป็นพอ
  • The Negative:  
    อาทิตย์แรกก็สนุก แต่หลังๆจิตตก ไม่ไหวค่าาา ทำไมจะกินอะไรมันต้องชั่ง ต้องจด เวลาสังสรรค์เริ่มกังวลกับสิ่งที่ทาน เริ่มมีความคิดเรื่อง Cheat Day / Cheat Meal ซึ่งตอนนี้เมย์ไม่เห็นด้วย เพราะการจะทานอะไรที่ดีต่อใจ เราไม่ได้โกงใคร รวมถึงตัวเราเอง มันทำให้เกิดความเครียดในการกิน ไม่ใช่ว่าวิธีนี้ไม่ดี แต่เป้าหมายของเมย์ไม่ใช่การมี six pack แต่คือการมีสุขภาพที่ดีแบบระยะยาว มีความสุขกับการใช้ชีวิตและสิ่งที่ทาน แถมการทานแบบนี้เน้นแต่คาร์บและโปรตีน และหลายครั้งต้องทานในปริมาณที่เยอะมากเพื่อสร้างกล้าม หยุดเล่นเมื่อไหร่ บวมค่า

6. Paleo

Related image

  • Trial Period:
    ประมาณ 6 เดือน (ปี 2016)
  • What:
    การทานอาหารเหมือนมนุษย์ยุคหิน คือกินสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สมัยที่ยังไม่มีการทำเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร เพราะฉะนั้นห้ามทานนมวัว แป้งสาลี ธัญพืชเช่นข้าว ถั่วเหลือง ข้าวโพดและน้ำตาลขาว เนื้อสัตว์ก็ต้องเป็นแบบปลอดฮอร์โมน ผัก็ต้องเป็นผักอินทรีย์
  • How:
    กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ของต้องห้าม เน้นการทานผักเขียว โปรตีนดี และไขมันดี
  • Result:
    รู้สึกร่างกายแข็งแรง ท้องไม่อืด ผื่นหาย เลือดดีมากกกก ดีถึงขนาดเริ่มบริจาคเลือดได้
  • The Positive:
    ร่างกายแข็งแรง มีแรงในการออกกำลัง ประจำเดือนมาดี ได้เรียนรู้แหล่งขายเนื้อสัตว์ปลอดสารและผักอินทรีย์ ได้เรียนรู้วิธีการปรุงเนื้อสัตว์และอาหารคาวแบบต่างๆ สนุกกับการเข้าครัว
  • The Negative:  
    ไม่สามารถทานข้าวได้ เพราะฉะนั้นอดทานซูชิ เวลาทานอาหารไทยก็ทานได้แต่กับ คิดถึงข้าว!

7. Ketogenic

  • Trial Period:
    ประมาณ 3 อาทิตย์ (ปี 2017)
  • What:
    การทานอาหารโดยเน้นไขมันเป็นหลัก ประมาณ 70-80% โปรตีนอีก 15% และคาร์บเพียง 5%
  • How:
    จะทานอะไร ขอให้ไขมันสูงไว้ก่อน อาทิตย์แรกคือฟินมาก ไม่เคยกล้าทานไขมันเยอะขนาดนี้มาก่อน ทานแคปหมูเป็นของว่าง ดื่มกะทิเป็นว่าเล่น แต่!! คาร์บเช่นข้าว ฟักทอง ผลไม้ส่วนมากคือห้ามแตะ ผลไม้ของคนทำคีโตคือเบอร์รี่และอโวคาโด ขนาดทานพวกมะเขือเทศเยอะๆยังคาร์บเกินเลย
  • Result:
    น้ำหนักลงเร็วมากกกกก 3 กก. ใน 7 วัน แรงเยอะ รู้สึก alert ตลอดวัน
  • The Positive:
    น้ำหนักลงเร็วมาก ออกกำลังแล้วเหงื่อแตก เบิร์นดีสุดๆ
  • The Negative:  
    ร่างกายตื่นเกิน ถึงเวลานอนก็ไม่ง่วง ตื่นก่อนกำหนด แถมระหว่างวันยังไม่ง่วงอีก ตาเป็นแพนด้า แต่ไม่ง่วงเลย เมย์พยายามทานแต่ไขมันดี ไขมันสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์ น้ำมันสกัดเย็นแบบออร์แกนิค คือทุกอย่างแพงมากกก คิดถึงการทานผลไม้และพืชหัวสุดๆ คิดไว้แล้วว่าทำได้ไม่ยั่งยืนแน่ๆ กลับไปทานปกติดีกว่า พอกลับมาทานเท่านั้นแหละ น้ำหนักกลับมาเร็วมากค่า อันนี้อานเพราะเมย์ทำคีโตแค่ 3 อาทิตย์ คนที่ทำนานๆ น้ำหนักอาจไม่กลับขึ้นมาเร็วหรือเหมือนเดิมเท่าเมย์ อ้อ เสียดาย ไม่ได้วัดคอเลาเตอรอลก่อนและหลังทำค่ะ

8. Oh! No Sugar

  • Trial Period:
    ประมาณ 1 ปี ทำบ้าง หยุดบ้าง (ปี 2017)
  • What:
    อันนี้เป็นโปรแกรมที่เมย์คิดขึ้นมาเองโดยการปรับจากการทานแบบ Paleo ให้เข้ากับ Lifestyle ตัวเองและคนไทย เป้าหมายหลักคือการทำให้ตัวเองเลิกติดหวาน เพราะทานคลีนมาหลายปี อาการติดน้ำตาลและขนมคลีนต่างๆแก้ไม่หายซักที ทำแล้วดีมาเลยได้ทำเป็น OH! NO SUGAR CHALLENGE ขึ้นมา กลุ่มอยู่บน Facebook ไปเข้าร่วมได้ฟรีนะคะ
  • How:
    เป็นการทานที่ครบหมู่ เน้นการทานผักมากกว่า 50% ของทุกมื้อ ทานโปรตีนดี ไขมันดี และคาร์บดีให้ครบตามพลังงานที่เราต้องใช้แต่แบ่งตามสัดส่วนในภาพ จะทานเท่าไหร่ก้ได้จนกว่าจะอิ่ม แต่ขอให้คงสัดส่วนนี้ไว้ มี 5 สิ่งที่ทานไม่ได้คือสารให้ความหวานทุกชนิด (ไม่นับผลไม้) นมวัว แป้งสาลี เหล้า และผงชูรส
  • Result:
    น้ำหนังลดคงที่ หน้าท้องยุบ ผื่นหาย ขับถ่ายดี นอนดี สุขภาพดีแบบยั่งยืน
  • The Positive:
    ได้ทานทุกอย่างที่อยากทาน อิ่ม อร่อย ไม่โหย ไม่เครียด นานๆทีอยากทานขนมก็ทานได้ หากทำเองก็ทำแบบไม่ใส่สารให้ความหวาน ใช้ความหวานจากผลไม้ล้วนๆ อร่อยมาก ลิ้นรับรสเปลี่ยนไปเลย ไม่โหยหาขนมหวาน ดีใจมากค่ะ
  • The Negative:  
    การทานแบบนี้เป็นการหักดิบจากน้ำตาล ใครที่ติดน้ำตาลมากๆอาจมีอาการขับพิษต่างๆเช่น อารมณ์เหวี่ยง ท้องผูก สิวขึ้น ปวดหัวเหมือนจะเป็นไข้ คลื่นไส้และอื่นๆ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการปกติ หากผ่านอาทิตย์แรกไปได้ สดใสแน่นอนค่ะ

Summary

จากการได้ทดลองมาหลากหลายทฤษฎี ตอนนี้เมย์ค้นพบว่าการทานแบบ Wh0le Foods Plant Based + Oh! No Sugar เหมาะกับร่างกายเมย์ที่สุด นั่นก็คือ

  • เน้นการทานผักให้ได้มากกว่า 50% ของทุกมื้อ
  • ทานโปรตีนให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นถั่ว เต้าหู้ หรือเนื้อสัตว์เมื่อร่างกายโหยหา เมย์ทานได้หมดไม่ว่าจะเป็นปลาหรือเนื้อวัว (ส่วนมากจะทานเฉพาะเวลาไปทานชาบูหรือโอกาสพิเศษ)
  • ทานไขมันดีทุกมื้อ เพราะนี่คือสิ่งที่ผู้หญิงต้องการในการบำรุงฮอร์โมน ผิว ผม เล็บ ที่สำคัญ ไขมันดีทำให้อิ่มนานและไม่โหย
  • ทานคาร์บจากพืชหัวและธัญพืชเต็มเมล็ดเช่นข้าวกล้อง คีนวา ข้าวโอ๊ต  โดยเฉพาะวันที่ไปออกกำลัง
  • ทานขนมเมื่ออยากแต่นานๆทีและต้องทำจากวัตถุดิบที่ดี อร่อยคุ้มอ้วน
  • ยังดื่มไวน์ หากเป็นไวน์ที่ดีและอร่อย

ไม่อด ไม่เครียด น้ำหนักขึ้นมา 8 กก. จากเมื่อ 5 ปีก่อน

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือจากคนที่เลือดจาก ตอนนี้บริจาคเลือดได้ทุก 3 เดือน เป้าหมายของเมย์เปลี่ยนจากการลดน้ำหนักเป็นอยากมีร่างกายที่แข็งแรง สามารถเที่ยวรอบโลก

Enjoy Life

สามารถทำตัวเป็นประโยชน์ให้ผู้อื่น เมย์จะเคารพร่างกายด้วยการให้เขาพักเมื่อใช้งานเขาหนักไปเช่นออกกำลังหนัก ทำงานหนักก็ต้องพักผ่อน กินหนักก็ต้อง Detox ให้ร่างกายได้พัก ทำเท่าที่ทำได้ (ไว้จะมาเล่าวิธีการ Detox ในแบบต่างๆให้ฟังนะคะ)

เมย์จะบอกตัวเองเสมอว่าไม่ต้องเครียดกับการกิน

ไม่ต้องมี Cheat Meal

เพราะการที่เราจะกินอะไรดีๆ อร่อยๆนั้นเราไม่ได้โกงใคร ไม่ต้องเครียด!

มีเป้าหมายที่ชัดเจน และคิดว่าการกินอาหารทีดีคือการบำรุงกาย และบางทีก็ต้องมีบำรุงใจบ้าง

คิดได้แค่นี้ ด้วยความที่เรารักร่างกายตัวเอง เราก็ไม่อยากกินอะไรแย่ๆเข้าไปโดยที่ไม่ต้องฝืนใจตัวเองแล้วค่ะ

หากคิดว่าโพสท์นี้มีประโยชน์ อย่าลืม Comment & Share ให้ชื่นใจด้วยน้า ♡